สวัสดีครับ แฟนคลับของ Seamoor blog ทุกท่าน
ในวันเดินเรือโลก (World Maritime Day) เมื่อวันที่ 30 ก.ย. พ.ศ. 2564 ที่ผ่านมา องค์การทางทะเลระหว่างประเทศหรือ IMO กำหนดธีมจัดงานในปีนี้ว่า ‘Seafarers: at the core of shipping’s future’ หรือแปลเป็นไทยว่า ‘คนประจำเรือ: หัวใจแห่งอนาคตของการขนส่งทางทะเล’ ซึ่งผมเห็นด้วยกับธีมของปีนี้ทุกประการเลยครับ เพราะถ้าเรือไม่มีคนประจำเรือแล้วก็เป็นได้แค่เหล็กลอยน้ำดี ๆ นี่เอง เราต้องยอมรับกันเลยนะครับว่า คนประจำเรือคือส่วนสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนและเชื่อมโยงเศรษฐกิจของโลก ทว่าตัวตน บทบาท และหน้าที่ของคนประจำเรือนั้นแทบจะไม่เป็นที่รับรู้ต่อผู้คนภายนอกเลย
อย่างไรก็ตาม บรรดาองค์กรกลางที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการเดินเรือ การค้าและการขนส่งทางทะเลได้พยายามตั้งกฎเกณฑ์และมาตรฐานกลางในการดำเนินกิจกรรมการเดินเรือ รวมถึงสภาพการทำงานและความเป็นอยู่ที่ดีให้กับคนประจำเรือมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization-ILO) ที่ได้ให้ความสำคัญกับประเด็นนี้ และทำงานร่วมกับภาคทุกส่วนที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมทางทะเลมาอย่างยาวนาน กระทั่งเกิดเป็น Maritime Labour Convenion 2006 (MLC 2006) ซึ่งเจ้า MLC 2006นี้ถือเป็น 1 ใน 4 เสาหลักของอนุสัญญาทางทะเลระหว่างประเทศของ IMO
ก่อนจะเล่าเรื่อง MLC 2006 ให้พวกเราฟัง หลายคนอาจจะสงสัยว่า แล้วไอ้เจ้า 4 เสาหลักที่ว่ามีอะไรบ้าง งั้นผมขอเล่าเรื่อง 4 เสาหลักของอนุสัญญาของ IMO ให้ฟังกันสักนิดพอเป็นสังเขปนะครับ
เสาหลักทั้งสี่ของอนุสัญญาทางทะเลระหว่างประเทศเพื่อกิจกรรมการขนส่งทางทะเลที่มีคุณภาพ
ในอุตสาหกรรมการขนส่งสินค้าทางทะเล ถ้าไม่มีกฎหมายที่เป็นสากล แล้วปล่อยให้รัฐชายฝั่งแต่ละแห่งประกาศบังคับใช้กฎหมายของตัวเองกับเรือของรัฐอื่นที่เข้าไปในทะเลอาณาเขต ผมว่าคงวุ่นวายกันพิลึกแหละครับ เพราะน่าจะคุยกันคนละเรื่อง ดังนั้น IMO ที่มองเห็นปัญหานี้ จึงอาสาเป็นหน่วยงานกลางที่คอยประสานความร่วมมือและให้ประเทศสมาชิกร่วมกันได้จัดทำอนุสัญญาระหว่างประเทศขึ้นมาบังคับใช้ เพื่อความเป็นสากล ซึ่งปัจจุบัน IMO ได้ออกอนุสัญญาต่าง ๆ มามากมาย แต่มีอนุสัญญาอยู่ 4 ตัวที่ถือเป็น 4 เสาหลักสำคัญ ได้แก่
- อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยมาตรฐานการฝึกอบรม การออกประกาศนียบัตร และการเข้ายามสำหรับคนประจำเรือ (International Convention on Standards of Training, Certification and Watchkeeping for Seafarers-STCW) มีวัตถุประสงค์เพื่อวางมาตรฐานความรู้ความสามารถของคนประจำเรือให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (Uniform Standards of Competence for Seafarers) ทั้งในเรื่องการฝึกอบรม การออกประกาศนียบัตร และการเข้ายามสำหรับคนประจำเรือก่อนที่จะออกไปปฏิบัติงานในทะเล ทั้งในฝ่ายเดินเรือ ฝ่ายช่างกลเรือ ช่างไฟฟ้า ฝ่ายวิทยุสื่อสาร และกำหนดมาตรฐานความรู้ชั้นสูงสำหรับการปฏิบัติงานในเรือที่มีความพิเศษ เช่น เรือบรรทุกน้ำมัน เรือบรรทุกสารเคมี เรือบรรทุกแก๊สเหลว รวมถึงกำหนดพันธะให้ประเทศต่าง ๆ สามารถตรวจสอบมาตรฐานการศึกษาและการฝึกอบรมของประเทศอื่น ๆ ก่อนจะยอมรับผู้ถือประกาศนียบัตรที่ออกโดยประเทศนั้น ๆ ให้ทำงานบนเรือที่ชักธงของประเทศตน และยังกำหนดมาตรฐานระยะเวลาการปฏิบัติงาน ระยะเวลาการพักผ่อนของคนประจำเรือ เพื่อคุ้มครองการปฏิบัติงานบนเรือและเพื่อความปลอดภัยในการเดินเรือ
- อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยความปลอดภัยแห่งชีวิตในทะเล (International Convention for the Safety of Life at Sea-SOLAS) เป็นข้อกำหนดมาตรฐานความปลอดภัยขั้นต่ำสำหรับอุปกรณ์ โครงสร้างเรือ และการทำงานบนเรือเดินทะเลระหว่างประเทศ ซึ่งอนุสัญญานี้มีที่มาจากการจมของเรือไททานิกครับ รายละเอียดคงน่าจะพอทราบกัน
- อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการป้องกันมลพิษจากเรือ 1973 แก้ไขโดยพิธีสาร 1978 (International Convention for the Prevention of Pollution from Ships-MARPOL 73/78) เป็นอนุสัญญาที่มีวัตถุประสงค์เพื่อลดและป้องกันมลภาวะจากเรือที่จะปล่อยลงในมหาสมุทรและทะเล รวมถึงการทิ้งขยะน้ำมันและมลพิษทางอากาศด้วย เรือทุกลำที่จดทะเบียนภายใต้ประเทศที่ให้สัตยาบัน MARPOL จะอยู่ภายใต้ข้อกำหนดไม่ว่าจะแล่นไปที่ใด และประเทศสมาชิกจะต้องรับผิดชอบต่อเรือที่จดทะเบียนธงของตัวเองให้ปฎิบัติตาม
- อนุสัญญาแรงงานทางทะเล ค.ศ. 2006 (Maritime Labor Convention-MLC 2006) มีที่มาจากองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labor Organization-ILO) ซึ่งประกาศใช้ MLC 2006เพื่อรวบรวมอนุสัญญาที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองแรงงานทางทะเลซึ่งมีการบังคับใช้อยู่หลายฉบับ และสร้างมาตรฐานการคุ้มครองแรงงานบนเรือเดินทะเลให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ส่งผลให้แรงงานทางทะเลได้รับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพตามหลักสิทธิมนุษยชนมากขึ้น ทั้งด้านการคุ้มครอง ด้านสวัสดิการ สุขภาพอนามัยของแรงงานทางทะเล เพิ่มความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ตลอดจนความก้าวหน้าในการประกอบอาชีพของแรงงานบนเรือเดินทะเลให้เทียบเท่ากับการทำงานบนภาคพี้นดินและเหมาะสมกับสภาพการณ์ปัจจุบัน อีกทั้งยังคุ้มครองคนประจำเรือให้มีมาตรฐานเดียวเพื่อส่งเสริมการค้าที่เท่าเทียมและเป็นธรรม
จุดที่น่าสนใจคือMLC 2006 มีความแตกต่างจากอนุสัญญาฉบับอื่นของ IMO ที่ปกติบังคับใช้กับประเทศสมาชิกที่ให้สัตยาบันต่ออนุสัญญาเท่าน้ัน แต่ในกรณีของ MLC 2006 กำหนดให้สามารถบังคับใช้กับสมาชิกทุกประเทศ แม้ว่าจะไม่ได้ลงนามให้สัตยาบันก็ตาม โดยสาระสำคัญคือให้อำนาจรัฐเจ้าของท่าเรือ (Port State) ที่ให้สัตยาบันสามารถตรวจสภาพการจ้างงาน สภาพการทำงานของคนประจำเรือของเรือที่เข้ามาเทียบท่าในประเทศของตนได้ และสามารถส่งกักเรือหรือสั่งให้แก้ไขข้อบกพร่องบนเรือหากเรือดังกล่าวไม่ได้ปฏิบัติตาม MLC 2006
ความมุ่งหมายหลัก 2 ประการของ MLC 2006
- เพื่อนำเอาระบบการปกป้องแรงงานที่มีอยู่แล้วในมาตรฐานแรงงานทั้งหลายมาสะสางและรวบรวมให้ตรงกับประเด็นที่แรงงานให้ความกังวลจริง ๆ โดยต้องสอดคล้องไปกับการเพัฒนาอย่างรวดเร็วและปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมนี้ (ซึ่งจะให้ความมั่นใจว่าเกิดสภาพการทำงานที่เหมาะสม)
- ปรับปรุงระบบให้เป็นที่ยอมรับและปรับใช้ได้จริง โดยเมื่อเจ้าของเรือและองค์กรของรัฐที่สนใจในการจัดให้มีสภาพการทำงานที่เหมาะสมต้องไม่พบเจอกับความไม่เท่าเทียมกันในการสร้างความมั่นใจในการให้ความคุ้มครอง (กำหนดกฎกติกาที่เท่าเทียม – การแข่งขันที่ยุติธรรม)
ประโยชน์และหน้าที่ความรับผิดชอบของเจ้าของเรือจาก MLC 20006
อนุสัญญา MLC 2006 ถูกสร้างขึ้นมาด้วยแนวคิดให้นำไปปรับใช้ได้ทั่วโลก และจุดนี้เองที่เจ้าของเรือส่วนใหญ่น่าจะเบาใจได้ว่ารายละเอียดในอนุสัญญานั้นง่ายต่อการความเข้าใจและปฏิบัติตามมาตรฐานขั้นต่ำได้อย่างไม่ยากเย็น
ภายใต้กฎกลางเดียวกันนี้ เจ้าของเรือมั่นใจได้ในระดับหนึ่งว่าจะเกิดแข่งขันที่เท่าเทียมกัน โดยอนุสัญญาจะไม่ส่งเสริมกิจกรรมที่ต่ำกว่ามาตรฐาน เรือจะได้รับการตรวจสอบ รวมถึงเรือที่มีขนาดต่ำกว่า 500 GRT ก็เข้ารับการตรวจสอบได้หากเจ้าของเรือสมัครใจ
คนประจำเรือที่เข้ามาทำงานก็จะมีความรู้และคุณภาพตรงกับตำแหน่งหน้าที่มากขึ้นตามข้อกำหนดของอนุสัญญา ซึ่งเท่ากับว่าจะเกิดผลลัพธ์การทำางานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นตามไปด้วย เรือจะดำเนินกิจกรรมอย่างปลอดภัยและระมัดระวัง ลดปัญหาจุกจิกลงไปได้ ทั้งยังลดการดีเลย์ที่เมืองท่า ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นการสร้างให้เกิดอุตสาหกรรมการขนส่งทางทะเลที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
สิทธิที่คนประจำเรือควรรู้จากอนุสัญญา MLC 2006
จะพูดว่าคนประจำเรือคือผู้ที่ได้ประโยชน์เต็ม ๆ มากที่สุดจากอนุสัญญานีี้ก็คงไม่เป็นการเกินเลยไปสักเท่าไรนัก รายละเอียดและประเด็นต่าง ๆ ในอนุสัญญาครอบคลุมข้อกำหนดและสิทธิขั้นพี้นฐานของแรงงานทางทะเลเอาไว้ทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นสิทธิพี้นฐานในการจ้างงาน สิทธิและการรักษาพยาบาลที่พึงได้พึงมีอื่น ๆ ได้รับสภาพการทำงานและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น รวมไปถึงการป้องกันอันตรายและความปลอดภัยตามมาตรฐานที่กำหนด
สุดท้ายยังมีสิทธิตั้งข้อเรียกร้องตามช่องทางที่เจ้าของเรือต้องจัดให้มีไว้หากคนประจำเรือพบเจอประเด็นใด ๆ ที่ไม่ได้เป็นไปตามอนุสัญญา
โดยในอนุสัญญา MLC 2006 มีองค์ประกอบหลัก ๆ ดังนี้ครับ
- มาตรฐานขั้นต่ำสำหรับคนประจำเรือที่จะทำงานบนเรือเดินทะเล (Minimum Requirement for Seafarer to work on ship)
- สภาพการจ้างงาน (Conditions of employment)
- ที่พัก สันทนาการ อาหารและการจัดหาอาหาร (Accommodation and recreational facilities)
- การคุ้มครองสุขภาพ การรักษาพยาบาล และการคุ้มครองด้านประกันสังคม (Health Protection,
Medical Care, Welfare and Social Security Protection) - การปฏิบัติตามและการบังคับใช้ (Compliance and enforcement)
และเมื่อเรือไปเข้าที่เมืองท่าต่างประเทศ Port State Control จะขึ้นมาตรวจเรือตามข้อกำหนดและมาตรฐานแรงงานทางทะเล 16 หัวข้อ (16 area for inspection ) อันเกี่ยวข้องกับสภาพความเป็นอยู่และ สภาพการทำงานของคนประจำเรือ ซึ่งถ้าพบว่าเรือมีข้อบกพร่องในเรื่องใด เรือจะถูกกักหรือถูกสั่งให้แก้ไขให้เรียบร้อยก่อนจะออกจากเมืองท่า โดยทั้ง 16 ข้อมีในเรื่องต่อไปนี้ครับ
- อายุขั้นต่ำ (Minimum Age)
- ประกาศนียบัตรสุขภาพ (Medical Certificate)
- คุณสมบัติของคนประจำเรือ (Qualifications)
- ข้ออตกลงการจ้างงานของคนประจำเรือ (Seafarer’s Employment Agreement)
- การใช้หน่วยงานบริการจัดหาและบรรจุงานของเอกชนตามที่กฎหมายกำหนดหรือที่มีใบรับรองหรือที่มีใบอนุญาต (Use of any Licensed or Certified or Regulated Private Recruitment and Placement Service)
- ชั่วโมงการทำางานและชั่วโมงการพักผ่อน (Hours of Work and Hours of Rest)
- ระดับการจัดอัตรากำลัง (Manning Levels)
- ที่พักอาศัย (Accommodation)
- สิ่งนันทนาการบนเรือ (Recreation Facilities)
- อาหารและการจัดหาอาหาร (Food and Catering)
- การป้องกันอุบัติเหตุและการคุ้มครองความปลอดภัยและสุขภาพอนามัย (Health and Safety Protection and Accident Prevention)
- การรักษาพยาบาลบนเรือและบนฝั่ง (Medical Care Onboard Ship and Ashore)
- วิธีปฏิบัติในการร้องเรียนบนเรือ (On-board Compliant Procedures)
- ค่าจ้าง (Wages)
- หลักประกันทางการเงินของเจ้าของเรือในการส่งตัวคนประจำเรือกลับประเทศ (Financial Security for Repatriation)
- หลักประกันทางการเงินของเจ้าของเรือในการรับผิดชอบกรณีเกิดอุบัติเหตุทางทะเล (Financial Security Relating to Shipowners’ Liabilities)
ผมขออนุญาตไม่ลงรายละเอียดทั้ง 16 ข้อนะครับ เพราะจะทำให้บทความนี้กลายเป็นตำาราไป หากสนใจอ่านดูรายละเอียดจริง ๆ ละก็ลองกดไปดูรายละเอียดของอนุสัญญา MLC 2006 (ซึ่งจะเป็นภาษาอังกฤษนะครับ)
การปรับตัวของประเทศไทยต่อกฎหมายทางทะเลสากล
คราวนี้ผมพาพวกเรากลับมาดูความก้าวหน้าและอุปสรรคและปัญหาเกี่ยวกับแรงงานทางทะเลในประเทศไทยกันบ้างครับ
จากที่เล่าให้ฟังแล้วว่าอนุสัญญาหลักของ IMO มี 4 ตัว ซึ่งประเทศไทยก็ให้สัตยาบันในอนุสัญญาทั้ง 4 เสาหลักแหละครับ แต่ก็ไม่ครบถ้วนซะทีเดียว เช่น MARPOL เขามีกัน 6 ภาคผนวก ประเทศไทยก็ให้การยอมรับแค่ 2ภาคผนวกเท่านั้น เรียกว่าแบ่งรับแบ่งสู้กันน่าดู ในส่วนของ MLC 2006ก็เช่นกัน ไทยก็ให้การยอมรับครับ เพราะถ้าไม่ยอมรับ เรือที่ชักธงไทยคงออกไปหากินแข่งกับเขาลำบาก และที่สำคัญ ยังไงก็โดนบังคับโดยปริยายอยู่แล้ว เหมือนตกกระไดพลอยโจรครับ
ทีนี้การจะให้สัตยาบันในอนุสัญญา MLC 2006ได้นั้น ประเทศไทยต้องมีกฎหมายของตัวเองที่มีการบังคับใช้โดยไม่ขัดกับ MLC 2006 ประเทศไทยจึงได้ออกพระราชบัญญัติแรงงานทางทะเล พ.ศ. 2558 มาและประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 1ตุลาคม พ.ศ. 2558 และมีผลในอีก 180 วันหลังการประกาศ
ซึ่งเมื่อวันที 29 มีนาคม พ.ศ. 2559พระราชบัญญัติแรงงานทางทะเล พ.ศ. 2558 ได้มีผลบังคับใช้กับเรือที่ชักธงไทยทุกลำที่ใช้ในการเดินทะเลเพื่อวัตถุประสงค์ในเชิงพาณิชย์ที่มีขนาดเกิน 500 GRT หรือมากกว่าที่จดทะเบียนวิ่งระหว่างประเทศ นั่นก็หมายความว่า เรือไทยที่จดทะเบียนเป็นInternational Voyage หรือ Near Coastal Voyage ที่มีขนาดเกิน500 GRT ต้องถูกบังคับให้ปฎิบัติตามพระราชบัญญัติแรงงานทางทะเล พ.ศ. 2558 ทั้งสิ้น
แต่ประเทศไทยก็ได้ออกกฎกระทรวงกำหนดเรือที่ได้รับการ ‘ยกเว้น’ ไม่อยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติแรงงานทางทะเล พ.ศ. 2558 ไว้ทั้งหมด 8 ประเภทด้วยกันคือ
- เรือของทางราชการที่มิได้มีวัตถุประสงค์ในเชิงพาณิชย์
- เรือขนาดต่ำกว่า 200 GRT ที่มีเขตการเดินเรือภายในประเทศ
- เรือให้บริการในบริเวณเขตท่าเรือ รวมถึงรับส่งคนหรือสินค้า เรือดัน เรือลากจูง หรือเรือรับส่งเชือก
- เรือที่ให้บริการรับส่งนำร่อง
- เรือเดินประจำทางที่มีเขตการเดินเรือภายในเขตจังหวัด
- เรือสำราญและกีฬาที่มิได้มีวัตถุประสงค์ในเชิงพาณิชย์
- เรือมีลักษณะเป็นแท่นขุดเจาะนอกฝั่งแบบเคลื่อนที่ (Mobile Offshore Drilling Unit-MODU)
- เรือที่มีเขตการเดินเรือประเภทเรือกลเดินทะเลเฉพาะเขต (จดทะเบียน Local Trade) หรือเรือเดินทะเลที่มิใช่เรือกล
คือถ้าเจ้าของเรือไทยทั้ง 8 ประเภทนี้ไม่ต้องปฎิบัติตาม พรบ. ก็หมายความว่าวัตถุประสงค์ของMLC 2006 ที่จะดูแลคนประจำเรือก็เป็นอันแห้วไปสำหรับเรือดังกล่าว ในความเห็นของผม ก็รู้สึกขัด ๆ ชอบกล และเสียดายโอกาสแทนคนประจำเรือไทยพอสมควร ผมเคยเห็นเรือขนาด 80,000 GRT ที่ชักธงไทยแต่จดทะเบียนเป็น Local Trade จึงไม่ต้องมี MLC 2006บนเรือ ก็ดูแปลกดีนะครับ
จุดสังเกตที่น่าสนใจของพระราชบัญญัติแรงงานทางทะเล พ.ศ. 2558 (จากประสบการณ์ของผม)
นอกจากการยกเว้นไม่บังคับใช้กับเรือทั้ง 8 ประเภทแล้ว ในพระราชบัญญัติแรงงานทางทะเล พ.ศ. 2558 ยังมีแง่มุมที่น่าสนใจที่คุณอาจมองไม่เห็น ซึ่งอาจจะเป็นในแง่กฎหมายหน่อย ๆ แต่ผมว่ามันเป็นประโยชน์กับผู้อ่านพอสมควรเลยครับ ผมขอเรียกให้ดูน่าฟังหน่อยว่า ‘เป็นลักษณะพิเศษของพระราชบัญญัติ’ ก็แล้วกันนะครับ มาครับ ผมจะเล่าให้ฟังเป็นข้อ ๆ
1. การบูรณาการ (ทำงานสอดประสาน) ของหน่วยงานภาครัฐ
ทราบกันไหมครับว่าในบ้านเรามีหน่วยงานเข้ามาเกี่ยวข้อง พรบ.นี้ถึง 4 กระทรวงด้วยกันคือ โดยตาม ม. 5 ของ พรบ. กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้ดูแล พรบ. ตัวนี้ อีกทั้งยังให้รัฐมนตรีแต่ละกระทรวงแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่และออกกฎหมายลำดับรองเพื่อปฏิบัติการตาม พรบ. นี้อีก โดยกฎหมายรองที่แต่ละกระทรวงออกมาบังคัญใช้ก็มีไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว คือ กระทรวงแรงงาน 32 ฉบับ, กระทรวงคมนาคม 21 ฉบับ, กระทรวงต่างประเทศ 5 ฉบับ, และ กระทรวงสาธารณสุข 9 ฉบับ รวมทั้งหมด ณ ปัจจุบันก็ปาเข้าไป 67 ฉบับแล้ว เรียกว่าคนที่ต้องนำไปปฎิบัติจำกันแทบไม่หวาดไม่ไหวเลยทีเดียว
เวลาจะไปตรวจเรือยังมีแนวความคิดที่จะให้เจ้าหน้าที่ของแต่ละกระทรวงขึ้นไปตรวจเรืออีก ซึ่งถ้าไม่นัดตรวจพร้อม ๆ กันในคราวเดียว เรือต่างชาติที่เข้ามาอาจงงได้ว่ามาทำไมกันหนักหนา
ปัจจุบันมีความพยายามที่จะให้ฝ่ายตรวจเรือของกรมเจ้าท่า (Port State Control) เป็นตัวแทนขึ้นไปตรวจ โดยต้องถือกฎหมายรองของกระทรวงอื่นขึ้นไปตรวจด้วย แค่ตรวจ MLC 2006เรื่องเดียวก็น่าจะหมดเวลาแล้วครับ อย่างไรก็แล้วแต่ ผมยังไม่เห็นการดำเนินการที่เป็นรูปธรรมนะครับว่าการมอบหมายงานนี้เป็นอย่างไร
2. การดูแลในเรื่องสวัสดิการต่าง ๆ
ปกติคนไทยทุกคนจะได้สวัสดิการในการรักษาพยาบาลไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งครับ คนประจำเรือก็เช่นกัน
คนประจำเรือไทยส่วนใหญ่ได้สิทธิ์ประกันสังคม แต่ใน พรบ. ม.4 วรรค 2 ได้ยกเลิกสิทธิ์นี้ และกำหนดให้เจ้าของเรือเป็นผู้จัดหาและดูแลสิทธิในการรักษาพยาบาลของคนประจำเรือแทนกองทุนประกันสังคม ถ้าเจอเจ้าของเรือดูแลดีก็ดีไป แต่ข้อกำหนดนี้ก็เป็นปัญหากับเจ้าของเรือและคนประจำเรือพอสมควร
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าในกองเรือมีเรือที่จดทะบียนทั้ง Near Coastal ที่บังคับใช้ พรบ. กับเรือที่จดทะเบียนเป็น Local Trade ที่ไม่ต้องปฎิบัติตาม พรบ. ก็จะเป็นที่วุ่นวายมากในการแจ้งเข้าแจ้งออกในระบบประกันสังคม เพราะเวลาจะสลับคนประจำเรือขึ้นลงจากเรือจากเรือทั้ง 2 ประเภทก็ต้องเข้า ๆ ออก ๆ จากระบบประกันสังคม และที่สำคัญ คนประจำเรือจะไม่ได้สิทธิของประกันสังคมในเรื่องการรักษาพยาบาล ตัวอย่างที่เห็นง่าย ๆ คือ การฉีดวัคซีนโควิด คนประจำเรือที่อยู่บนเรือ Local Trade และอยู่ในระบบประกันสังคมจะได้โควต้าวัคซีนของประกันสังคม ส่วนพวกที่ทำงานบนเรือ Near Coastal จะไม่ได้โควต้าในส่วนนี้ และต้องรอการจัดหาจากเจ้าของเรือหรือจัดหาเอง เป็นต้น
ได้ข่าวว่า กำลังมีการแก้ไข พรบ.ให้คนประจำเรือสามารถกลับไปใช้สิทธิประกันสังคมได้เหมือนเดิม ช่วงนี้น่าจะอยู่ในช่วงรับฟังความคิดเห็นครับ
3. ระยะเวลาในการปฎิบัติงานบนเรือ
อนุสัญญา MLC 2006 เขียนไว้อย่างชัดเจนใน Standard A 2.5.2 ว่า คนประจำเรือจะสามารถทำงานบนเรือได้ไม่เกิน 12 เดือน แต่ใน พรบ.ของไทยนั้นไม่มีเขียนไว้ชัด ๆ ครับ ผมเคยสอบถามไปทางกระทรวงแรงงานก็ได้คำตอบว่า บริบทการคุ้มครองแรงงานทางทะเลในประเทศไทยนั้นไม่ตัดสิทธิในการเซ็นสัญญาจ้างระยะยาวเนื่องจากเป็นสิทธิระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง แต่หากต้องการความชัดเจนโดยที่ไม่ต้องนำข้อกำหนดหรือมาตรฐานระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องมาบังคับตามแต่ละกรณี ตาม ม.6ก็อาจจะสามารถกำหนดเพิ่มเติมไว้ในกฎหมายลำดับรองซึ่งจะต้องออกประกาศตาม ม.43 (18) เรื่องข้อตกลงการจ้างงานของคนประจำเรือ ซึ่งอยู่ระหว่างการยกร่างและรอผลการเจรจาต่อรองระหว่างเจ้าของเรือและคนประจำเรือ
เข้าใจง่าย ๆ ว่า คนประจำเรือไทยก็อยู่เรือได้นานไม่เกิน 12 เดือนครับ เพราะถึงแม้ไม่ได้ระบุไว้ใน พรบ. แต่ถ้าไปขัดอนุสัญญา MLC 2006 ก็ให้ยึดเอาข้อความในอนุสัญญาเป็นหลัก
ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมถึงไม่ระบุไว้แต่แรก จะออกมาให้คลุมเคลือทำไม ต้องมาโยงมาตราโน้นมาตรานี้ให้วุ่นวายไปหมด
4. ช่วงเวลาการทำงานกลางคืนของคนประจำเรืออายุต่ำกว่า 18 ปี
จริง ๆ แล้ว ตาม MLC Standard A1.1 เรื่อง Minimum age ได้บอกไว้แล้วว่าให้ขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศในการกำหนดเลย แต่ต้องไม่อยู่ในช่วง 9 ชม. ของเวลากลางคืน พอ พรบ.เราออกใน ม.16 ตอนนั้นก็คงไม่รู้จะเขียนระบุว่าอะไร เลยลอก MLC 2006 มาว่า ‘การทำงานเวลากลางคืนต้องมีระยะเวลาอย่างน้อยเก้าชั่วโมง โดยเริ่มต้นก่อนเที่ยงคืนและสิ้นสุดหลังจากเวลาห้านาฬิกา’ อ่านแล้วงงไหมล่ะครับ?
ซึ่งในทางปฎิบัติ คนที่จะต้องปฎิบัติตามก็ทำไม่ถูก โดยเฉพาะเจ้าของเรือ ดังนั้นเลยตัดปัญหาไม่จ้างคนประจำเรือที่มีอายุต่ำกว่า18 ปีไปเลย ซึ่งก็เป็นการปิดโอกาสคนประจำเรือรุ่นใหม่ ๆ ไป ในปัจจุบัน มีความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงข้อความใน ม.16 เรื่องการทำงานกลางคืน โดยระบุลงไปชัดเจนเลยว่า ช่วง 21.00-06.00 น. ถ้าอย่างนี้ ผมว่าน่าจะเข้าใจกันง่ายและไม่ต้องมาตีความกันดีครับ
ก็รอดูกันต่อไปว่า ตัวแก้ไข พรบ. นี้จะออกมาเมื่อไหร่
5. เวลาพักผ่อนของคนประจำเรือสืบเนื่องจากการทำงานล่วงเวลา
ใน พรบ. เขียนไว้ที่ ม.58 เวลาทำงานปกติ, ม.59 การทำงานล่วงเวลา และ ม. 62 เวลาพักผ่อน มันแยกกันอยู่ครับ อ่านแล้วก็จะงง ๆ นิดหนึ่งว่าตกลงทำแบบไหนได้หรือไม่ได้อย่างไร
เลยจะมีการแก้ไข พรบ.ใน ม.59 โดยจะเขียนไปว่า ‘เจ้าของเรือให้คนประจำเรือทำงานล่วงเวลาได้เท่าที่จำเป็น แต่เมื่อรวมกับระยะเวลาการทำงานปกติตาม ม.58 แล้วต้องไม่เกินวันละ14 ชั่วโมงในรอบ 24 ชั่วโมง และไม่เกิน 72ชั่วโมงในรอบ 7 วัน หรือจัดให้คนประจำเรือมีชั่วโมงการพักผ่อนตาม ม.62’ คือมีการโยงไปโยงมา ต้องค่อย ๆ อ่านทำความเข้าใจเรียบเรียงกันหน่อย แต่สรุปง่าย ๆ ไม่ว่าจะให้คนประจำเรือทำงานอย่างไร เจ้าของเรือต้องจัดให้คนประจำเรือมีชั่วโมงการพักผ่อนไม่น้อยกว่า 10 ชั่วโมงในรอบ 24 ชั่วโมง และไม่น้อยกว่า 77 ชั่วโมงในรอบ 7 วัน โดยชั่วโมงการพักผ่อนสามารถแบ่งออกได้ไม่เกิน 2 ช่วง และหนึ่งในสองช่วงนี้ต้องมีระยะเวลาอย่างน้อย 6 ชั่วโมง และต้องมีระยะห่างระหว่างกันแต่ละช่วงไม่เกิน 14 ชั่วโมงครับ
ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงบางตัวอย่างที่ผมประสบกับตัวเองช่วงที่ไปเป็นตัวแทนในการประชุมเกี่ยวกับ พรบ.ตัวนี้ ถ้านับถึงถึงวันนี้ เวลาก็ผ่านไปถึง 5 ปีแล้ว นับตั้งแต่ พรบ.ถูกบังคับใช้ แต่มาตรการทางกฎหมายบางเรื่องยังขาดความชัดเจน ขาดรายละเอียดในทางปฎิบัติในการบังคับใช้กฎหมาย แม้กระทั่งกฎหมายรองหลายฉบับยังทำไม่เสร็จ ก็ต้องช่วยกันดูต่อไปครับ ทั้งภาครัฐ เจ้าของเรือ หรือแม้กระทั่งคนประจำเรือเองก็ต้องพยายามศึกษาและทำความเข้าใจในตัว พรบ. เพราะมันจะมีผลต่อการทำงานของพวกเราโดยตรง และส่งผลให้ พรบ. ได้ดูแลแรงงานทางทะเลอย่างแท้จริง โดยไม่สร้างช่องโหว่ทางกฎหมายให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบคนประจำเรือได้
บทความโดย: Old Captain Never Die
อัปเดต: 21 ตุลาคม ค.ศ. 2021